เทศน์เช้า

คราวตาย

๑ ธ.ค. ๒๕๔๔

 

คราวตาย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ความเป็นจริงถ้าล่วงไป เราเอง คนนี่ล่วงไปแล้วก็หมดภาระแล้ว สบายไปแล้ว แต่เราสิ เรายังมีภาระอยู่ ต้องพยายามของเรา เห็นไหม ทำอะไรได้อย่างนั้นนะ เราทำจริงก็ได้จริง ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น กรรมให้ผลตามความเป็นจริง กรรมให้ผล กรรมนี้ให้ผลมาก แต่เรามีอำนาจเหนือกรรมตอนการกระทำ ถ้าเราทำกรรมดี กรรมดีจะให้ดีกับเรา ถ้าเราทำกรรมไม่ดี กรรมไม่ดีจะให้ผลกับเรา ให้ผลแก่เราเฉพาะชาติใดชาติหนึ่ง เฉพาะช่วงใดช่วงหนึ่ง ต้องให้ผลกับเราแน่นอน เราถึงสร้างคุณงามความดี เห็นไหม

คุณงามความดีของโลกเขาเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสใช้แล้วมันหมดไป สิ่งที่มันไม่เป็นอามิสนี่ เราจะทำยังไงให้มันเกิดขึ้นมาในตัวเรา สิ่งที่ไม่เป็นอามิสมันเกิดขึ้นจากความเป็นจริง เกิดขึ้นจากเราประพฤติปฏิบัติเลย แล้วเกิดขึ้นจากนี่มันเป็นของเราคงที่ไปเลย ใจดวงนี้แล้วมันจะไม่เกิดไม่ตาย ถ้าใจมันเกิดมันตาย มันต้องเกิดต้องตาย แล้วพอเกิดตายแล้ว พอสิ้นกิเลสแล้วตายไปมันก็ให้สมกับที่กิเลสตายไป แล้วโลกนี้ไม่เข้าใจ

โลกนี้เหมือนมืดบอด ไม่เข้าใจเลย พอดับไปแล้วก็ดับไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ปรินิพพานไปแล้ว บางคนสงสัยว่าสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้สร้างขึ้นมานะ สร้างขึ้นมาเพื่อจะเขียนเสือให้วัวกลัวว่าอย่างนั้นนะ ว่าศีลธรรม จริยธรรม เขียนเสือให้วัวกลัว แต่เวลากิเลสมันให้ผลขึ้นมาไม่เขียนเสือให้วัวกลัว ทุกข์มันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ทุกข์ในโลกนี้ทุกข์อย่างยิ่งเลย ทุกข์อย่างที่เราเกิดมานี่มีความทุกข์มาก แล้วเราต้องปากกัดตีนถีบ เพื่อจะประคองชีวิตออกไป

นี่ก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่มันแสนยาก แล้วการรักษาไว้ การทรงไว้นี่ การทรงไว้เพื่อจะเข้าไปหาถึงจุดที่ว่ามันจะเป็นประโยชน์ไง เริ่มต้นปฏิบัติคือเริ่มต้นหาข้าวของ หาอุปกรณ์ หาพวกทำอาหาร ถ้าไม่เอาลงหม้อลงกระทะ มันก็เสียหายไป นี่ก็เหมือนกัน แค่ทำความสงบของใจ เพื่อหาความสงบของใจขึ้นมา ยังหาไม่ได้ ยังทำกันไม่ได้

ความสงบของใจขึ้นมาแล้วก็ทำหลุดไม้หลุดมือไป ทำหลุดไม้หลุดมือไปเพราะเราไม่เคย สิ่งที่เราไม่เคยนี้มันเป็นอย่างนั้น แต่คนที่เคยแล้วมันต้องเอาทุกข์เอายากเข้าแลก ตายไปเกิดๆ จิตนี้สักแต่ว่าจิต ไม่มีการสันพันธ์กัน เรามายึดกันเป็นเจ้าของก็ชาตินี้ชาติเดียว เป็นญาติเป็นพี่น้องกันก็เพราะชาตินี่ พอหมดจากชาตินี้ไปแล้ว เห็นไหม คนที่ว่าเป็นเนื้อคู่กัน เกิดมาแล้ว ถ้าเป็นเนื้อคู่กันแล้วต้องรักกันชอบกัน แล้วต้องรักกันชอบกันตลอดไปสิ ทำไมมันมีปัญหา มันมีอย่างอื่นไป มันยังคิดอย่างอื่นไป

นี่มันเหมือนกับว่า กรรมนี่มันมีหนึ่งมีสองไง ถึงว่ามันไม่ตายตัวตลอดไปว่า จะต้องเป็นอย่างนั้นตายตัวตลอดไป แต่ถ้ามันตายตัวตลอดไป มันเป็นความผูกพัน ความผูกพันของใจ เห็นไหม มันผูกพันของใจแล้วมันผลักไสใจ ผลักไสให้เราคิดพ้นไปอย่างนั้น ผลักไสใจให้เราอยู่ในอำนาจของมัน แล้วคิดไปตามกระแสของใจอย่างนั้น นั่นน่ะมันผลักไส เห็นไหม มันผลักไสเพราะว่ามันมีอำนาจเหนือเรา มีอำนาจเหนือเราเท่านั้น

คำว่าเราหรือเขาก็แล้วแต่นะ มันเกิดขึ้นมาจากเราทั้งนั้น มันเกิดขึ้นมาจากใจ ไม่ต้องไปหาที่อื่นเลย ปลูกถั่วต้องได้ต้นถั่ว ปลูกข้าวปลาอาหารต้องได้ข้าวปลาอาหาร เหมือนกัน นี่เราค้นหาที่ใจ มันจะได้เรื่องของใจ เราทำงานของเรา เรารักษาเรื่องของเรา คนอื่นเขาจะว่าขนาดไหน เขาจะคิดว่าเราทำงานสิ่งที่ว่าไม่เป็นประโยชน์ นั้นเป็นเรื่องของคนคิดไง

คนที่หยาบๆ จะเอามาเทียบเคียงกับเราไม่ได้หรอก ความคิดของเขาหยาบ เขาเห็นแต่ของหยาบๆ เขาคิดแต่เรื่องได้อย่างนั้นไง เรื่องวัตถุสิ่งของจับต้องได้นี่ มันหยาบเกินไปที่เขาจะแสวงหาสิ่งนั้น แล้วเราปล่อยวางสิ่งนั้นมานี่ คนหยาบแล้วจะเอามาเทียบ พูดจาแล้วให้เราเชื่อถือนี่เป็นไปไม่ได้เลย พูดของคนโง่ คนโง่พูดขนาดไหนก็เป็นเรื่องของเขาอยู่ขนาดนั้น คนฉลาดพูดคำเดียวมันสะเทือนใจนะ สิ่งใดที่มันฉลาด สิ่งใดที่ว่ามันเป็นประโยชน์ไปนี่มันสะเทือนใจ

นี่เหมือนกัน หัวใจของเราเราจะหาสิ่งนั้น เราจะหาสิ่งที่มันเป็นประโยชน์ มันเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม มันไขว้คว้าหายาก มันต้องแสวงหาเต็มที่มันถึงจะได้สิ่งนี้มา ถ้าได้มาแล้วเราก็พยายามสงวนรักษาของเราไว้ ได้มาส่วนหนึ่ง การรักษาส่วนหนึ่ง การได้มาเป็นการช่วยให้การได้มาอย่างหนึ่ง การสงวนรักษาไว้เป็นหน้าที่การงานอีกอย่างหนึ่ง เห็นไหม แล้วการที่ให้มันคงที่ตลอดไป แล้วพยายามสร้างสมขึ้นมา ให้มันเข้าไปทำงานของมัน มันจะไปทำงานของมัน รักษาไว้แล้วจะเป็นทำงานของมัน จะรักษาไว้เฉยๆ ว่าเราได้ของสิ่งนั้นมาแล้ว เราได้เงินได้ทองมา เห็นไหม เงินทองกินไม่ได้นะ เงินทองนี่เราต้องไปแลกเปลี่ยนเป็นข้าวปลาอาหารเราถึงจะกินได้

อันนี้ก็เหมือนกัน ความสงบของใจมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราไม่ให้มันเกิดประโยชน์มากขึ้นไปกว่านี้ มันก็เสื่อมสภาพไป มันต้องให้มันเป็นข้าวปลาอาหาร ให้ใจนี้ได้ดื่มกินรสของธรรม รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง แต่ธรรมมันจะละเอียดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ละเอียดเข้าไปอย่างนั้น แล้วมันจะไปประกันกันไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะสอนขึ้นมา สอนเพื่ออะไร สอนเพื่อให้เข้าใจสิ่งนั้น แล้วเป็นพยานกันไง เป็นพยานรู้เห็นสิ่งนั้นแล้วใจมันเข้าถึงสิ่งนั้นแล้ว มันจะเคารพเลื่อมใส เห็นไหม

ความเป็นใจ รู้ได้ยังไงๆ สิ่งนี้มันลึกลับซับซ้อนรู้ได้ยังไง ลึกลับซับซ้อนก็ลึกลับซับซ้อนอยู่ในหัวใจของเรา มันซับซ้อนอยู่ในใจของเรา แต่มันซับซ้อนขนาดไหน เห็นไหม ชนะตน เหมือนกับของที่มันหายาก เอาผ้าโพกไว้บนศีรษะแล้วเดินหาผ้า มันไม่เห็น อันนี้ก็เหมือนกัน ความเห็นของเรา ความรู้สึกของเรา ความทุกข์ของเรา แต่เราไม่เห็นนะ แต่ถ้าความทุกข์ของคนอื่นนี่เห็นได้ง่าย คนอื่นเอ่ยปากถึงความทุกข์นี่เราจะเข้าใจความทุกข์ของเขา แล้วเราจะเข้าใจความทุกข์ของเขา เห็นความทุกข์ของเขา คุยกันรู้เรื่องนะ

แต่ความทุกข์ของเรานี่มันก็เหมือนกัน เราได้รับแต่ผลของมัน มันขึ้นมาในหัวใจ แล้วมันขับถ่ายไว้ในหัวใจ มันไปแล้วนี่เราถึงได้เห็นตัวของมัน เห็นว่าอันนี้เป็นความทุกข์ เป็นความทุกข์ที่ว่าเวลามันทุกข์ในหัวใจ มันไปแล้วเราแก้ไขไม่ได้นี่ นั่นน่ะสัมมาสมาธิมันสำคัญตรงนี้ไง สำคัญตรงที่ว่ามันเกิดขึ้นก็รู้เท่า การรู้เท่านี่มันเกิดรู้เท่า แล้วจับตัวมันได้ไง การจับตัวมันได้นี่สำคัญมาก ถ้าจับตัวมันได้หมายถึงว่ามันจะวิปัสสนาได้ มันจะเป็นงานขึ้นมา

ถ้าจับตัวไม่ได้นี่ นั่นน่ะสิ่งที่หามาแล้วปล่อยให้มันเสียหายไปๆ เพราะว่ามันไม่พลิกขึ้น ความพลิกของใจมันเป็นงานชอบ ชอบตรงนี้ ชอบตรงได้วิปัสสนา ถ้าไม่มีวิปัสสนา เห็นไหม การแยกแยะออกไป ถ้ามันแยกแยะออกไปนั่นน่ะมันจะเห็นทุกข์ตรงนั้น แล้วมันจะเข้าใจทุกข์ตรงนั้น มันจะปล่อยวางทุกข์ตรงนั้น แล้วทุกข์มันจะมาจากไหน ทุกข์มันจะมาจากไหน เพราะมันเกิดขึ้นมาเรารู้ทันมัน แต่นี่เราไม่รู้ทันมัน ถึงว่าเราตามผลของมันเท่านั้น เราเห็นผลของมัน แล้วผู้ที่ปฏิบัติได้ถึงอย่างนี้มันถึงเข้าใจ เห็นไหม ว่าจิตมันกระเพื่อมเฉยๆ สิ่งนี้มันกระเพื่อมเฉยๆ มันอยู่ในใจของมัน มันกระเพื่อมออกมา มันรับรู้สิ่งนั้นออกไป แต่มันจะให้ค่าหรือไม่ให้ค่า

เหมือนกันคนโง่นะ คนประพฤติปฏิบัตินี่ มันรู้สึกแล้วมันปล่อยวางได้ตามความเป็นจริง มันไม่ตื่นเต้นไปกับเขา แต่โลกแล้วนี่ทำไมสิ่งนั้นมันมีคุณค่า ทำไมมันไม่อยากเป็น ไม่อยากมีเหมือนเขา มันอยากไปเพื่ออะไร มันเป็นสิ่งที่อนิจจังนะ ความอยากนั้นก็เป็นทุกข์ส่วนหนึ่ง ความคิดอยากได้เป็นทุกข์ส่วนหนึ่งอยู่แล้ว แล้วแสวงหาการไปจับต้องสิ่งนั้น เพราะอะไร

เพราะสิ่งนั้นเป็นของที่ว่าเป็นอนิจจังทั้งหมด สิ่งใดในโลกนี้ไม่มี สิ่งที่จะพึ่งนี้ไม่มีเลย ไม่มีสิ่งใดจะพึ่งได้ แต่มันอาศัยชั่วกาลที่มันยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดพึ่งได้ แล้วพึ่งยังพึ่งไม่ได้ แล้วเราจะไปจับต้องไปยึดมั่นถือมั่นให้ทุกข์ทำไม เห็นไหม

เขานี่ฉลาดกว่าเรา เราเห็นวัตถุแล้วเราอยากได้ เขาเห็นแล้วเขาวางไว้ตามความเป็นจริง วางไว้ตามความเป็นจริง รู้เท่านะ แล้วไม่ไปยึดมั่นถือมั่นมันด้วย ไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ไม่ไปทุกข์กับมัน เห็นไหม ไม่ไปทุกข์ไม่ไปเห็นสิ่งนั้นให้มันเบียดเบียนใจ ถ้ามันมีความทุกข์มันเบียดเบียนใจ เพราะเรายึดมั่นถือมั่นแล้วแสวงหา ได้มาก็ไม่เป็นประโยชน์ คนๆ นั้นถึงว่าหาของในโลกนี้ ได้มาแล้วไม่มีสิ่งใดเลยจะเป็นสมบัติของตน สมบัตินี้ไม่มีเป็นของตนทั้งนั้น

แม้แต่ทิฏฐิความเห็นของตัวก็เหมือนกัน มันก็เกิดดับในหัวใจ มันก็ไม่ใช่เรานะ แต่ไอ้กิเลส ไอ้ยางเหนียวนี่มันยึดมั่น มันดึงใจอันนั้นกับใจให้เป็นเนื้อเดียวกัน เราจะทำยังไงสละออกไป พอสละออกไปมันต้องมีเครื่องมือ มันต้องมีวิธีการสิ วิธีการนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ววางไว้เป็นธรรม นี่ศึกษาธรรมะ ธรรมะเป็นที่พึ่ง ในพิธีการ พิธีกรรมต่างๆ เห็นไหม ในเรื่องศาสนา ศาสนานี่เป็นที่พึ่งมากนะ เกิด โกนจุก ไว้ผมเปีย เวลาโกนผมนี่ทำบุญตักบาตรเพื่อเรื่องของศาสนา แต่ศาสนานั้นเป็นพิธีกรรมเฉยๆ เห็นไหม ความแสวงหาอยากแสวงหา ความคิดๆ อยู่ อยากจะออกอยู่ อยากจะคิดอยู่ อยากจะทำไป แต่ทำเป็นพิธีกรรม ทำด้วยพิธีกรรม เข้าไปถึงไง เข้าถึงเปลือก ถ้าเราไม่ทะลุเปลือกเข้าไปจะเข้าถึงสัจจะไม่ได้

อันนี้ก็เหมือนกัน พิธีกรรมเราไม่รู้ รู้แล้วไม่ยึดมัน เราทำตามความเห็นของโลกเขา เพื่อความสวยงาม เห็นไหม โลกนี้คนหมู่มากต้องมีศีล มีกติกา เพื่อความสวยงาม เราก็ทำตามเขา แต่เราไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้นว่ามันเป็นสัจจะ เพราะมันเป็นเปลือกของผลไม้ มันรักษาผลไม้ไว้ให้เราเข้าถึงรสของผลไม้ ถึงเนื้อของผลไม้ เราพยายามเข้าถึงเนื้อของผลไม้

เนื้อของธรรมก็เหมือนกัน พิธีกรรมต่างๆ ในศาสนา เห็นไหม ในเรื่องศาสนา เรื่องการแสวงหา เรื่องการอยากได้อยากเป็น มันก็อยาก ความอยากนั้นเราไม่ไปยึดติดมัน แต่เราอยากในเหตุ อยากในการประพฤติปฏิบัติ อยากในการให้มันเกิดผล อยากในการที่มันเป็นผลขึ้นมา ถ้าผลอันนั้นเกิดขึ้นมาในหัวใจของเรานี่ แล้วมันถึงจะว่าจะตายก็ไม่เสียดาย ตายเถิดถ้าตาย เพราะถึงที่สุดแล้วนะตายที่ไหนก็ตายได้ ตายสะดวกสบาย แต่ยังไม่ถึงนี่...

อาจารย์มหาบัวตอนที่ท่านไปเป็นโรคเสียดหัวใจอยู่ที่หนองผือ เห็นไหม อยู่ที่บ้านผือน่ะ ท่านบอกเวลามันเจ็บขึ้นมานี่ มันจะตาย ไม่อยากตายเพราะอะไร เพราะท่านรู้ว่ามันยังคาอยู่ ยังไม่สิ้นสุด เห็นไหม แต่ถ้ามันสิ้นสุดแล้วตายเมื่อไหร่ก็ได้ นี่ไง เพราะอะไร เพราะมันคาอยู่ มันต้องไปเกิดภพใหม่ แล้วต้องไปทำใหม่อีก เห็นไหม อันนี้มันทำให้ถึงที่สุดให้ได้

ถ้ามันถึงที่สุดตายไปให้มันตายไปเถิด ถ้าไม่ถึงที่สุดมันจะตายไปนี่มันน่าเสียดาย น่าเสียดาย ทำงานของเราให้เสร็จก่อน จบกิจแล้วมันถึงจะสิ้นไป ถ้าไม่จบกิจแล้วเราจะต้องไปเกิดไปตายอีก มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นไป ทุกข์ไหม นี่เรื่องศาสนา ถ้าเราจะเข้าถึงมันเป็นที่พึ่ง มันเป็นที่ปรารถนา มันเป็นที่อยากได้อยากเป็น แต่เราอยากได้อยากเป็นก็ต้องรู้ด้วยว่า จับตรงนี้มันเป็นเปลือกหรือว่ามันเป็นแก่น ถ้าจับถึงแก่นแล้วมันเข้าถึงแก่นได้ มันถึงแก่นได้ เราถึงจะเป็นประโยชน์กับเรา แก่นของมันกลับหาไม่เจอเพราะอะไร เพราะเป็นนามธรรม

สิ่งที่เป็นนามธรรม เห็นไหม เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืนเหนื่อยแสนเหนื่อยมันได้อะไรขึ้นมา ได้ความปล่อยวาง ได้ความเข้าใจ ถ้าไม่ได้อะไรเลยก็ได้ความเพียรไง เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืนไม่ได้อะไรเลย ให้มันไม่ได้ไปอยู่อย่างนั้น แล้วเดินจงกรม ๗ วัน ๗ คืน เป็นเดือนเป็นปี ทำอยู่อย่างนั้น ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ต้องได้ผล เห็นไหม ขาดเพราะความเพียรเท่านั้น สัจธรรมมีอยู่ขาดเพราะความเพียรของเรา เราไม่มีความเพียรเราเข้าไม่ถึง ถ้าไม่มีความเพียรเราจะเข้าถึง ขาดเฉพาะความเพียรของเรา ถ้าความเพียรเกิดขึ้นจะทำได้ ทำแล้วมันจะเป็นผลกับเรา

นี่เนื้อของศาสนา เนื้อของสัจธรรมไง มัคคอริยสัจจังนี่เป็นตัวเหตุ ตัวเหตุ เห็นไหม ความเพียรชอบนี่เป็นเหตุอันหนึ่ง เป็นมัคคะ มรรคนี้เห็นไหม มรรคนี้เป็นสิ่งที่ว่าก้าวเดินเข้าไป มรรคนี้เป็นทางเข้าหาถึงที่สุดของธรรมได้ ถ้าไม่มีมรรคเอาอะไรเข้าไปเข้าหา เราสร้างเหตุคือสร้างมรรคขึ้นมา ถ้ามรรคเกิดขึ้นมากับตัวมันจะเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมาถึงตลอดไป เราถึงต้องสร้างมรรค เราเข้าถึงเหตุ นี่ตัวเป็นไป ผลไม่ต้องไปปรารถนามัน ผลมันเป็นไป เหตุมันถึงแล้วผลมันต้องเป็น ถ้ามันเป็นผลแล้วอันนั้นเป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน รู้ของเราแล้วเราอิ่มของเราเอง เอวัง